Saturday, April 30, 2011

MOTHER (2011, Vorakorn Ruetaivanichkul, 64 min, A+++++++++++++++)

สิ่งที่ชอบมากๆในหนังเรื่องนี้มีดังต่อไปนี้

1.ชอบประเด็นเรื่องแม่ในหนังเรื่องนี้มากๆเลยครับ มันเจ็บปวดมากๆ ที่แม่ในหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยปกติ มันทำให้เกิดภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก และหนังก็ไม่ได้สั่งสอนศีลธรรมคนดูหรือพยายามชี้แนะคนดูมากจนเกินไป ว่าต้องรักเคารพแม่และให้อภัยแม่ทุกสิ่งทุกอย่าง หนังทำให้เราเข้าใจความรู้สึกของลูกได้เป็นอย่างดีว่าต้องลำบากใจขนาดไหน

ปกติแล้วบทแม่ในหนังสั้นของไทยที่ได้ดูมา มักจะเป็นบทแม่พระที่ลูกเคารพรักเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนบทแม่ที่ไม่ใช่คนปกติแต่หนังทำออกมาได้น่าประทับใจนั้น เท่าที่ผมได้ดูมาก็ไม่น่าจะเกิน 10 เรื่อง ผมก็เลยดีใจมากๆครับที่ได้ดู MOTHER เรื่องนี้ เพราะหนังเรื่องนี้ไม่ได้นำเสนอบท "แม่" ในแบบที่ทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย

ในด้านความแรงของบทแม่ในหนังเรื่องนี้นั้น ผมคิดว่ามันแรงพอๆกับ TARNATION เลยครับ


2. documentary/mockumentary

ในช่วงที่ผมได้ดูหนังเรื่องนี้รอบแรก ผมไม่แน่ใจว่าบางส่วนของหนังเรื่องนี้เป็น documentary หรือ mockumentary แต่ผมก็ชอบมันมากๆครับ ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม ถ้าหากบางส่วนของหนังเรื่องนี้เป็น documentary ผมก็ชอบมันมากๆในแง่ความกล้าในการนำเสนอความจริงที่เจ็บปวดของชีวิต แต่ถ้าหากสิ่งที่ได้เห็นมีความเป็น mockumentary ผสมอยู่ด้วย ผมก็ทึ่งมากที่มันทำออกมาได้สมจริงมาก

สาเหตุที่ทำให้ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็น doc หรือ mock นั้น ก็เป็นเพราะความแรงในประเด็นเรื่องแม่นี่แหละครับ คือถ้าหากหนังเรื่องนี้นำเสนอแม่ในภาพของ "แม่พระผู้แสนดี" ผมก็คงเชื่อว่ามันเป็น doc โดยสนิทใจ แต่ภาพลักษณ์ของแม่ในหนังเรื่องนี้ดูค่อนข้างแรง ผมก็เลยไม่แน่ใจขณะที่ผมดูหนังเรื่องนี้รอบแรกว่ามันเป็น doc จริงหรือเปล่า

ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้รอบแรกนั้น ผมลุ้นมากๆครับว่าในตอนจบของหนังเรื่องนี้ เครดิตท้ายเรื่องจะมีชื่อนักแสดงหญิง 1 คนหรือ 2 คน เพราะในส่วนของคุณณัฐญา นาคะเวชนั้น มันชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นการแสดง แต่ในส่วนของผู้หญิงอีกคนนั้น ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็น "จริง" หรือ "แสดง" แถมใบหน้าของคุณแม่ในหนังเรื่องนี้ยังมีส่วนคล้ายคุณสุมณฑา สวนผลรัตน์ (นักแสดงละครเวทีระดับปรมาจารย์) ด้วย ผมก็เลยลุ้นอย่างสุดๆเลยครับ ว่าใน ending credit ของหนังเรื่องนี้ จะขึ้นชื่อของนักแสดงหญิง 1 หรือ 2 คน ซึ่งก็ปรากฏว่าขึ้นชื่อของนักแสดงหญิงเพียงคนเดียว

เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นน้อยครั้งมากครับสำหรับผม ที่ผมไม่แน่ใจว่าหนังที่ได้ดูเป็น doc หรือ mock เท่าที่ผมจำได้ ก็มีหนังเรื่อง THE LOVE MACHINE (2000, Gordon Eriksen), PARANORMAL ACTIVITY (2007, Oren Peli), THE FOURTH KIND (2009, Olatunde Osunsanmi) และ WANTANEE RETROSPECTIVE ENCORE (2008, Wantanee Siripattananantakul) ครับที่ทำให้ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็น doc หรือ mock ในขณะที่ได้ดู ซึ่งในตอนหลังผมก็พบว่ามันเป็น mock ทั้ง 4 เรื่อง ในขณะที่ MOTHER เป็น documentary ในบางช่วง (ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด)

3.ชอบฉากเปิดของหนังครับ ผมเข้าใจว่าฉากเปิดของหนังเป็น documentary ซึ่งผมก็ทึ่งมากว่าถ่ายได้ยังไง เพราะคนถ่ายคงนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้าง และคงลำบากไม่ใช่น้อยในการถือกล้องถ่ายหนังไปด้วย แถมยังถือส้มโอมาด้วย (ถ้าเข้าใจไม่ผิด)

4.ผมชอบที่ฉากเปิดของหนังเหมือนจะหลอกคนดูในหลายๆอย่างครับ ซึ่งได้แก่

4.1 หลอกคนดูว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นสารคดีบริสุทธิ์ แต่อยู่ดีๆหนังก็กลายเป็นเหมือน fiction ในฉากต่อมาเฉยเลย

4.2 หลอกคนดูว่าหนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับ "คุณแม่ผู้แสนดี" เพราะคุณแม่ในฉากเปิดดูเหมือน "คุณแม่ผู้แสนดี" ที่เคยปรากฏตัวในหนังสั้นของไทยหลายเรื่อง

4.3 หลอกคนดูว่าหนังเรื่องนี้จะมีอารมณ์ feel good เกี่ยวกับ "ความรัก" "ความผูกพัน" ของคนในครอบครัว

5.ผมชอบที่ 4 ฉากแรกในหนังมันกระโดดข้าม genre ถึง 3 genre เลยครับ โดยในฉากแรกนั้น หนังเป็น documentary แต่ต่อมาหนังก็เป็น dramatic fiction ในฉากแม่กระโดดตึกและเข้าโรงพยาบาล และต่อมาหนังก็เป็น surreal

6.ผมชอบ "เส้นเวลา" ในหนังด้วยครับ เพราะในฉากที่สองของหนังที่ลูกชายนั่งดูจอโทรทัศน์นั้น เราเห็น "ภาพลูกชายไปเยี่ยมแม่ในคุก" ปรากฏอยู่ในจอโทรทัศน์ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเราไม่สามารถจัดเรียงเวลาหรือลำดับเหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้ให้เป็นเส้นตรงได้

ถ้าหากตัดฉากที่สองออกไป เราก็อาจจะลำดับเหตุการณ์หรือเล่าเนื้อหาในหนังเรื่องนี้ให้เป็นเส้นตรงได้ไม่ยาก แต่พอมีฉากที่สองเข้ามาในเรื่อง โครงสร้างของหนังเรื่องนี้ก็พิสดารขึ้นมาทันที

สิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงหนังเรื่อง BEFORE THE RAIN (1994, Milcho Manchevski, Macedonia) ด้วยครับ เพราะใน BEFORE THE RAIN นั้น หนังเล่าเรื่องเป็นวงกลม บอกไม่ได้ว่าฉากไหนเกิดก่อน ฉากไหนเกิดทีหลัง แต่ถ้าหากตัดฉาก "ตัวละครดูภาพถ่าย" ออกไปจากเรื่องปุ๊บ เราก็จะเล่าเนื้อหาใน BEFORE THE RAIN ให้เป็นเส้นตรงได้ในทันที

7.ฉากพิสดาร

นอกจากลำดับเวลาในหนังจะพิสดารแล้ว ผมก็ชอบฉากในนาทีที่ 18 มากๆเลยครับ ที่เหมือนมีปลาหรือตัวอะไรสักอย่างบินมากลางอากาศ มาหาแม่กลางป่า มันเป็นฉากที่น่าจดจำมากๆ

8.การถ่ายภาพ

ผมชอบการถ่ายภาพในหนังเรื่องนี้ด้วยครับ โดยเฉพาะในฉาก supermarket ที่เราจะเห็นภาพคมชัดแค่บางส่วน และเบลอๆในบางส่วน ผมไม่แน่ใจว่าการจงใจถ่ายภาพให้ออกมากึ่งเบลอกึ่งคมชัดแบบนี้ มีจุดประสงค์เพื่อตอกย้ำความผิดปกติของแม่หรือเปล่า ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากๆเลยครับ

9.สิ่งที่อยู่นอกฉาก

อีกฉากที่ผมว่าน่าสนใจมาก คือช่วงนาทีที่ 47-51 ที่หนังจงใจไม่ให้เราเห็นว่าใครคุยอยู่กับ "แม่" ในฉากนั้น ผมดูฉากนี้จนจบแล้วผมก็ไม่แน่ใจครับว่า คนที่ทะเลาะกับแม่ในฉากนั้นคือใครและมีความสัมพันธ์ยังไงกับแม่ในเรื่อง

หนังโดยทั่วไปมักจะให้เราเห็นตัวคนพูด แต่ในฉากนั้นเราจะไม่ได้เห็นตัวคนพูดคนนึง และเราก็ไม่รู้จนจบว่าใครคือเจ้าของเสียงพูดในฉากนั้น ผมก็เลยทึ่งกับฉากนี้มากๆเลยครับ

10. การใช้เสียงประกอบ

ผมชอบเสียงประกอบหลายอย่างในหนังครับ อย่างเช่น

10.1 เสียงทีวีในฉากที่แม่นอนบนเตียง ซึ่งเป็นเสียงที่อาจจะฟังดูน่ารำคาญมากๆ และหนังทั่วไปคงตัดเสียงนี้ทิ้งไป มีก็แต่เพียงหนังบางเรื่องของ Rainer Werner Fassbinder ที่จงใจใส่เสียงเหล่านี้เข้ามาเพื่อเหตุผลอะไรบางอย่าง

10.2 เสียงประกาศรางวัลหวยออกในฉากที่แม่นั่งมองดูตู้ปลา ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่ามันสื่อถึงอะไร แต่มันประหลาดดี

10.3 เสียงกระซิบกระซาบแปลกๆในนาทีที่ 30:50-31:50 ในฉากที่แม่เปิดประตูบ้าน ผมไม่แน่ใจว่าเสียงกระซิบแปลกๆในฉากนี้คืออะไร มันคือเสียงที่ต้องการตอกย้ำความผิดปกติของแม่, เสียงที่ติดเข้ามาโดยบังเอิญ หรือเสียงผี ฮ่าๆๆ

10.4 เสียงหมาเห่า

11.การที่ตัวละครมองกล้อง ทั้งในส่วนที่เป็น fiction และ documentary (แม่มองกล้องตอนท้ายเรื่อง) ซึ่งผมว่ามันทั้งแปลก และก็คล้องจองกันดี และเป็นสิ่งที่พบน้อยมากในหนังระยะหลัง เท่าที่ผมได้ดูมา หนังที่มีตัวละครมองกล้องตรงๆแบบนี้ ก็มีแค่ DISSOLUTION (2010, Nina Menkes), WOMAN I (2010, Nuntanat Duangtisarn) กับหนังบางเรื่องของ Taiki Sakpisit เท่านั้น

12. การแสดงของคุณณัฐญา และคุณกันต์ ชุณหวัตร ที่เล่นได้น่าประทับใจมากๆทั้งคู่ ผมชอบคุณณัฐญา นาคะเวชมากๆครับ และก็ดีใจมากๆที่หนังเรื่องนี้เปิดโอกาสให้คุณณัฐญาได้สำแดงฝีมือที่แท้จริงของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ส่วนของคุณกันต์นั้น ผมว่าแกถ่ายทอด "ความห่างเหิน" ระหว่างลูกกับแม่ได้ดีมากๆเลยครับ

ตอนที่ผมดูหนังเรื่องนี้รอบแรกนั้น ผมรู้สึกว่าคุณกันต์เล่นแข็งครับ เพราะแกดูไม่รู้สึกรัก, ผูกพัน หรือห่วงใยแม่สักเท่าไหร่เลย แต่พอผมดูหนังเรื่องนี้จบรอบแรก ผมถึงเข้าใจว่าเพราะเหตุใดลูกชายในหนังเรื่องนี้ถึงมีปฏิกิริยากับแม่แบบนั้น พอผมดูหนังเรื่องนี้รอบสอง ผมก็เลยชอบการแสดงของคุณกันต์เพิ่มขึ้นมากครับ เพราะตัวละครตัวนี้มันสมควรแสดงออกแบบนี้จริงๆ

สรุปว่า MOTHER เป็นหนังที่สุดยอดมากครับ ผมชอบหนังเรื่องนี้มากๆ และขอเป็นกำลังใจให้คุณวรกรได้ทำหนังออกมาอีกนะครับ


No comments:

Post a Comment