ความทรงจำที่ไม่อาจลืมเลือน/ผู้หญิงที่เจอผัวในวันที่ 10 เมษาฯ/ย้ายถิ่น (2011, อรรถวุฒิ บุญยวง)
หนึ่งในสิ่งที่ชอบที่สุดในหนังเรื่องนี้ ก็คือฉากการเล่นไพ่ที่กินเวลายาวนานพอสมควร สาเหตุที่ชอบก็เป็นเพราะว่าเราชอบ moment แบบนี้ในหนังน่ะ เราชอบฉากแบบนี้ไม่ว่ามันจะอยู่ในหนังที่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ตาม มันคือช่วงเวลาแห่งความสุขของเรา, ของตัวผู้กำกับ และของคนอื่นๆที่ปรากฏตัวอยู่ในฉากด้วย
ฉากการเล่นไพ่ในหนังเรื่องนี้มันทำให้เราเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของเรานะ บางทีเวลาเราเครียดๆกับชีวิต หรือรู้สึกทดแท้หดหู่ใจกับอะไรบางอย่าง เราก็จะหลบหนีจากโลกปัจจุบันด้วยการนึกไปถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในอดีตของเรา นึกถึงเวลาเราเล่นไพ่กับเพื่อนๆในปี 1990 ในเดือนมี.ค. ก่อนที่จะไปสอบเอนท์ในเดือนเม.ย. และชีวิตแยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง ช่วงเวลานั้นมันผ่านมานาน 21 ปีแล้วนะ ตอนนี้มันเป็นปี 2011 แล้ว แต่เรายังจดจำช่วงเวลาตอนเล่นไพ่ในปี 1990 ได้อยู่เลย เพราะมันเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขจริงๆ
เรารู้สึกอิจฉาเด็กยุคปัจจุบันมากเลยนะ ที่สามารถบันทึกภาพเวลาแห่งความสุขพวกนี้เอาไว้ได้ผ่านทางกล้องวิดีโอ ในขณะที่เราต้องพึ่งพาแต่ความทรงจำของเราเพียงอย่างเดียว เวลาที่เราเครียดๆ เราก็จะ "ฉายหนังในหัวของเรา" ด้วยการนึกถึงเหตุการณ์ตอนเล่นไพ่ในปี 1990 แต่ "เครื่องฉายหนังในหัวของเรา" มันคือ "ความทรงจำ" ที่ค่อยๆสูญสลายหายไปเรื่อยๆเมื่อเราแก่ตัวลง ในขณะที่ "วิดีโอ" มันบันทึก "เหตุการณ์สุขสันต์ในอดีต" ได้ดีกว่า "ความทรงจำ" เยอะเลย
อีกจุดที่ทำให้เราชอบ I REMEMBER มากก็คือการที่หนังโฟกัสไปที่การเล่นไพ่ แทนที่จะโฟกัสไปที่ "ชายหาด" คือบางคนเวลาทำหนังสารคดีเกี่ยวกับการไปท่องเที่ยวสถานที่อะไรสักอย่าง แล้วโฟกัสไปที่ตัวสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนั้น มันก็ไม่ผิดอะไรหรอก แต่ด้วยรสนิยมส่วนตัวของเรา เรามักจะสนใจ "ความเป็นมนุษย์" มากกว่าตัวสถานที่ท่องเที่ยวน่ะ เพราะฉะนั้นหนังอย่าง "ไฉไล: ไอ เลิฟ ยู" (โกวิท แดขุนทด, 53.13, A-) ก็เลยอาจจะไม่ค่อยเข้าทางเราสักเท่าไหร่ เพราะหนังค่อนข้างโฟกัสไปที่ตัวสถานที่ท่องเที่ยว ในขณะที่หนังอย่าง WALK TO PHUKET (2010, Tanaporn Sae-low, 29 min, A++++++++++) เข้าทางเรามากกว่า และสิ่งที่ฝังใจเรามากที่สุดในหนังเรื่องนี้ กลับไม่ใช่ชายหาดของภูเก็ตแต่อย่างใด แต่เป็นฉากประเภท "ผู้กำกับดีใจ ที่ได้อาบน้ำเสียที" หรืออะไรทำนองนี้ เพราะมันเป็นความเป็นมนุษย์ที่เราเชื่อมโยงได้ และเป็นสิ่งที่เราสนใจ
ส่วนหนังเรื่อง I REMEMBER นี้ เข้าทางเรามากๆ เพราะหนังแทบไม่ได้ใส่ใจกับชายหาดที่ผู้กำกับมาพักเลย แต่มุ่งไปที่การได้อยู่กับเพื่อนๆเป็นหลัก
อย่างไรก็ดี ถ้าหากพูดถึงหนังเกี่ยวกับเพื่อนแล้ว หนังที่เข้าทางเรามากที่สุด ก็คือ "ค่ำคืนสุดท้าย" (วชร กัณหา, A+++++++++++++++) นะ เพราะในหนังเรื่องนี้ เพื่อนแต่ละคนคุยกันแบบเปลือยชีวิตจริงๆ แต่ใน I REMEMBER นั้น เพื่อนๆแต่ละคนไม่ได้เปิดเผยอะไรในชีวิตออกมามากเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถึงแม้เราจะชอบฉากเล่นไพ่ใน I REMEMBER มาก แต่มันก็อาจจะไม่ใช่ฉากที่สนอง need ส่วนตัวของเราได้มากที่สุดน่ะ ซึ่งนั่นไม่ใช่ความผิดของผู้กำกับหรือความผิดของหนังเรื่องนี้แต่อย่างใด ที่ไม่ได้ทำหนังที่สนองความต้องการส่วนตัวของเรา
ฉากประเภทที่สนองความต้องการส่วนตัวของเราได้มากที่สุดก็คือฉากใน "ค่ำคืนสุดท้าย" หรือฉากประเภทที่มักพบในหนังหลายๆเรื่องของ Eric Rohmer น่ะ ฉากประเภทที่ตัวละครคุยกันแบบเถิดเทิงจริงๆ ซึ่งฉากประเภทนี้เราไม่ค่อยเจอในหนังสารคดีของไทยนะ เพราะมันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเพื่อนๆแต่ละคนของผู้กำกับกล้าเปิดเผยชีวิตของตัวเองต่อหน้ากล้องเท่านั้น
จุดอื่นๆที่เราชอบมากใน I REMEMBER รวมถึง
1.ฉากศพในวัดปทุมวนาราม
2.การใส่ประเด็นการเมืองเข้ามารวมไว้ในหนัง ซึ่งเป็นลักษณะที่พบได้ในหนังไทยหลายๆเรื่องที่เราชอบมากในระยะหลัง ซึ่งรวมถึง EMPIRE OF MIND (2009, Nontawat Numbenchapol, 90 min, documentary, A+), ME AND MY VIDEO DIARY (Tani Thitiprawat, 30 min, documentary, A++++++++++) และอาจจะรวมไปถึง HOME COMPUTER (Teeranit Siangsanoh, 19 min, A++++++++++) หนังกลุ่มนี้ผสม "ชีวิตส่วนตัวของผู้กำกับ" กับ "ประเด็นการเมือง" เข้าด้วยกัน แต่ด้วยสัดส่วนและวิธีการที่แตกต่างกันไป และเราอยากให้มีนักวิจารณ์นำหนังกลุ่มนี้มาวิเคราะห์อย่างละเอียดมากๆ ว่าแต่ละเรื่องมีส่วนเหมือนกันและมีส่วนแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
EMPIRE OF MIND มีประเด็นการเมืองน้อยมาก แต่มันฝังใจเราดี เท่าที่เราจำได้ มันมีฉากที่คุณแม่ของผู้กำกับพูดถึงความเห็นทางการเมืองของตัวเอง ซึ่งมันเป็นฉากที่สั้นมากๆในหนังเรื่องนี้ แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงฝังใจเรา
ME AND MY VIDEO DIARY เป็นหนังที่เหมาะนำมาฉายประชันกับ I REMEMBER มากๆ เพราะมันเป็นหนังที่พูดถึงชีวิตส่วนตัวกับประเด็นการเมืองในสัดส่วนที่เกือบเท่ากัน ถ้าเราจำไม่ผิด ME AND MY VIDEO DIARY จะพูดถึงการเมือง 33%, พูดถึงชีวิตครอบครัวของผู้กำกับ 33% และมีส่วนที่เป็นหนังทดลอง 33% ซึ่งใน I REMEMBER นั้น ก็มีทั้งประเด็นการเมือง, ชีวิตส่วนตัว, หนังทดลองเหมือนๆกัน แต่ I REMEMBER จะ treat ประเด็นการเมืองในแง่ที่เป็น "ความทรงจำที่ค่อนข้างกระจัดกระจาย" ในขณะที่ประเด็นการเมืองใน ME AND MY VIDEO DIARY จะเป็นเรื่องราวต่อเนื่องมากกว่า
3.ฉากแม่ชีทศพรใน I REMEMBER เราชอบการใส่ฉากนี้เข้ามาในหนังมากเลยนะ มันโผล่เข้ามาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย และไม่มีคำอธิบายอะไรทั้งสิ้น แต่มันคือ "สิ่งที่น่าจดจำในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา" จริงๆ
4.ฉากแอบถ่ายชายหนุ่มสองคนบนรถไฟ เราชอบฉากแบบนี้มากๆเลยนะ และมันก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เราชอบหนังเรื่อง I DID NOT DREAM LAST NIGHT (2008, Taiki Sakpisit, 10 min, A+) ที่เป็นการถ่ายภาพหนุ่มๆคนงานก่อสร้าง, UNLESS HE TELLS A LIE, UNLESS HE TELLS A LIE (2010, Taiki Sakpisit, A+) ที่เป็นการถ่ายภาพผู้หญิงบนรถไฟฟ้า และ UNDERGROUND FILM (Teeranit Siangsanoh, 47.3 min, A+) ที่มีฉากถ่ายภาพผู้หญิงบนรถไฟฟ้าเหมือนกัน
ส่วนฉากแอบถ่ายเด็กตัวเล็กๆบนรถไฟใน I REMEMBER นั้น มันก็เป็นฉากที่ฝังใจเราเหมือนกันนะ เพราะมันเป็นฉากที่กินเวลานานมาก และมันเป็นฉากที่แทบไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรกับคนดูเลย (เพราะเราจำไม่ได้แล้วว่าเสียงสนทนาในฉากนั้นพูดว่าอะไรบ้าง) เราตอบไม่ถูกเหมือนกันว่าชอบหรือไม่ชอบฉากนี้ มันเป็นฉากที่ไม่ได้ทำให้เราเบื่อ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เราตื่นเต้นกับมัน
5.ส่วนฉาก "ผู้หญิงที่เจอผัวในวันที่ 10 เมษา" นั้น เราชอบอารมณ์ขี้เล่นในฉากนี้นะ เพราะภาคแรกของหนังเรื่องนี้ ซึ่งก็คือ WOMEN IN DEMOCRACY (2009, Authawut Boonyuang, 6min, A++++++++++) มันให้อารมณ์ที่จริงจังมากๆ แต่อยู่ดีๆ ภาคสองของหนังเรื่องนี้ กลับให้อารมณ์ที่ผ่อนคลายลงมามาก มันก็เลยทำให้เรา feel good ตามไปด้วย แต่ก็ไม่ใช่การ feel good จนลืมความเป็นจริงแต่อย่างใด เพราะฉากศพในวัดปทุมวนาราม, ฉากการทรมานนักโทษ และอะไรอย่างอื่นๆในหนังเรื่องนี้มันก็ยังคงตามหลอกหลอนเราอยู่ดี
No comments:
Post a Comment